บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
สุภาษิต คือ
ถ้อยคำหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้ว ที่มีความหมาย เน้นคติสอนใจ
คำพังเพย คือ ถ้อยคำหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้ว
โดยกล่าวเป็นกลางๆ เพื่อให้ตีความหมายเข้ากับเรื่อง
สำนวน คือ
ถ้อยคำหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้ว แต่มีความหมายไม่ตรงตามตัว
หรือมีความหมายอื่นแฝงอยู่
คนในสมัยโบราณถือว่า
” ข้าวใหม่ปลามัน ” คือข้าวที่เก็บเกี่ยวในครึ่งปีหลัง
เป็นข้าวที่ดีกว่าข้าวเก่า และปลาเป็นอาหารคู่กับข้าว ” ปลามัน
” หมายถึงปลาในฟดุน้ำลดมีมันมาก รับประทานอร่อย
จึงมาผูกเป็นสำนวนพังเพยเปรียบเทียบเช่น สามีภรรยาที่เพิ่งจะแต่งงานกันใหม่ ๆ
ย่อมจะอยู่ในระหว่างกำลังเสพสุขสมรสมีรสชาติ
ความหมายของสำนวนนี้
หมายถึงการที่จะต้องเสียอะไรไปสักอย่างแต่ไม่มีทางที่จะต้องสูญเปล่าแล้ว
ก็ไม่ต้องวิตกทุกข์ร้อน ย่อมจะมีทางได้คืน
เปรียบเหมือนเรือบรรทุกที่ไม่เกิดล่มในหนองเล็ก ๆ หรือ แคบ ๆ ในวงจำกัด ทองก็คงจมอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหนเช่น
ยอมลงทุนเสียเงินเสียทอง เพื่อแต่งงานกับคนมีเงินด้วยกัน
ทุนที่ลงไปในการแต่งงานก็คงจะไม่สูญเปล่าเพราะทุนไปกองอยู่ด้วยกัน
ความหมายว่า
ได้ในสิ่งที่เห็นหรือเป็นของได้แน่
ดีกว่าคิดอยากได้ในสิ่งหรือของที่ไม่เห็นเหมือนไม่มีตัวตน
การกินการอยู่ใครไม่สู้พ่อ การพายการถ่อพ่อไม่สู้ใคร :
สำนวนนี้อธิบายความหมายอยู่ในตัวแล้วแสดงว่า
เรื่องกินแล้วเก่งจนไม่มีใครสู้แต่ถ้าเรื่องงานแล้วยอมแพ้
ซึ่งแปลว่าขี้เกียจนั้นเอง
ความหมายอย่างเดียวกับที่ว่า
”
ดูช้างให้ดูที่หาง ดูนางให้ดูที่แม่ ”
เพราะมีความหมายว่า ลูกย่อมไม่แตกต่างไปจากพ่อแม่แต่ถ้าพูดว่า ” ลูกไม้หล่นไกลต้น ”
ความหมายก็อยู่ในลักษณะตรงกันข้าม แปลว่า ลูกที่มีนิสัยหางไกลหรือแตกต่างกับพ่อแม่
ความในสำนวนนี้
แปลว่า เห็นคนอื่นเขานั่งคานหาม มีคนหามไป ตัวเองก็เอามือประสานกันเข้า ช้อนใต้กัน
เป็นทำนองว่า ตนก็นั่งคานหามเหมือนกันเป็นความหมายถึงการแสดงความทะเยอทะยาน
ใฝ่สูงเกินศักดิ์ อยากจะทำตัวตามอย่างผู้สูงศักดิ์กับเขาบ้าง
คำพังเพยสำนวนนี้
เป็นคำเตือนสติให้เราได้รับรู้ว่า
เมื่อจะทำอะไรก็ต้องตัดสินใจทำโดยเด็ดขาดหรือจริงจังลงไป อย่าทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ
มิฉะนั้นผลร้ายจะเกิดขึ้นได้ภายหลัง เปรียบได้กับการที่จะตีหรือกำจัดงูพิษ
เราก็ต้องตีให้ตาย หรือให้ถึงขนาดหลังหักไปเลย
มันจะได้สิ้นฤทธิ์กลับมาทำร้ายเราไม่ได้
คำพังเพยสำนวนนี้
จะพูดสลับกัน คือเอาประโยคหลังขึ้นก่อนก็ได้ว่า ” ไก่เห็นตีนงู
งูเห็นนมไก่ ” เพราะความหมายสัมพันธ์กัน
ซึ่งตามธรรมชาติแล้วเราจะไม่เคยได้เห็น ” ตีนงู ” หรือ ” นมไก่ ” เลย
เพราะงูไม่มีตีนและไก่ก็ไม่มีนม ความหมายของสำนวนจึงแปลว่า
คนสองคนต่างคนต่างเห็นหรือรู้เรื่องเดิมหรือรู้ความในกันดี แต่คนอื่นอาจไม่เห็น
หรือไม่รู้เรื่องของคนสองคนนี้เลย เช่น
คนสองคนทำตนเป็นคนมั่งมีหรือมีความรู้สูงเพื่ออวดคนอื่น ๆ
แต่ทั้งสองคนนี้ต่างรู้ไส้กันดีว่าแท้จริงแล้วต่างคนต่างไม่มีเงิน
หรือไม่มีความรู้เลยเมื่อมาพบกันเข้าจึงเท่ากับว่า ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่
คำว่า
”
พกหิน ” หมายถึง ใจคอหนักแน่น
เปรียบเหมือนเอาหินหนัก ๆ มาไว้กลับตัว ส่วน ” พกนุ่น ”
หมายถึง ใจเบา หรือหูเบาเอนเอียงง่าย เพราะนุ่นเป็นของเบา
สำนวนนี้จึงหมายถึง ทำใจคอให้หนักแน่นไว้ดีกว่าหูเบาหรือใจเบา หลงเชื่อคำของคนอื่น
จะทำให้แปลกพิสดารออกไปอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อ
หรือไม่เชื่อเป็นเด็ดขาด แต่สำนวนนี้มักเอามาใช้เป็นคำพนันขันต่อ เป็นทำนองว่า ถ้าลือทำได้ อั๊วยอม เอาหัวเดินต่างตีน
ตามความหมายของสำนวนอย่างหนึ่งว่า
สิ่งใดก็ตามถ้าปล่อยทิ้งไว้เปล่า ๆ
หรือไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เป็นสิ่งธรรมดาไม่ดีหรือไม่เลว แต่ถ้าไปทำให้มีเรื่องขึ้น
กลับดูเหมือนจะทำให้ดีกว่าเก่ายิ่งขึ้นกว่าเดิม ตามความหมายดังกล่าวนี้
เราจึงมักจะเอามาใช้เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่า
หญิงสาวบางคนที่บริสุทธิ์นั้นดูเป็นสิ่งธรรมดาไม่มีอะไรเป็นจุดเด่นหรือแปลก
แต่ถ้าได้แต่งงานหรือมีสามีเสียครั้งหนึ่งแล้ว เลิกร้างกันกลับกลายเป็น ” แม่หม้ายเนื้อหอม ” ไปได้ เปรียบกับดอกกระดังงาไทย
เมื่อเอามาลนไฟด้วยเทียนขี้ผึ้งจะมีกลิ่นหอมแรงขึ้น
ตามธรรมชาติ
เท่าที่รู้จักกันอยู่ว่า วัวเป็นสัตว์ที่กลัวเสืออยู่มาก
แม้จะมีรูปร่างใหญ่โตกว่าเสือก็ตามแต่ และวัวมักจะเป็นเหยื่อเสือเสียส่วนมาก
เขาจึงเอามาเป็นสำนวนพังเพยเปรียบเทียบถึง
การที่ทำอะไรอย่างหนึ่งเพื่อให้เป็นการข่มขู่อีกฝ่ายหนึ่งไว้ก่อนให้กลัว เรียกว่า เขียนเสือให้วัวกลัว
ถ้ารักวัวก็ให้ผูกล่ามขังไว้
มิฉะนั้นวัวจะถูกลักพาหรือหนีหายไปส่วนรักลูกให้เฆี่ยน ก็หมายถึงให้อบรมสั่งสอนลูกและทำโทษลูกเมื่อผิด
ทั้งสองสำนวนนี้
แปลว่า
การทำอะไรที่แสดงความเซ่อเขลาของตนโดยไม่พิจารณาเสียก่อนมักมุ่งหมายไปในทำนองที่ว่า
ไปต่อสู้หรือแข่งขันกับคนที่เขาชำนาญกว่าหรือเก่งกว่า โดยไม่รู้ว่าเป็นใคร
เช่นหลงไปเล่นการพนันกับนักพนันที่เก่งและชำนาญเข้าโดยไม่รู้จัก
เปรียบได้กับเอาเรือเข้าไปจอดในป่าที่มีเสือดุ ๆ หรือเอาไม้เข้าไปแหย่ให้มอดกัดกินเล่นสบาย
ที่มาของสำนวนคำพังเพยนี้เข้าใจว่ามาจาก
”
ขนมจีนน้ำยา ” ที่เราเคยรับประทานกันมาแล้ว
คือ ขนมจีนกับน้ำยาจะต้องผสมให้เข้ากันหรือได้ส่วนพอเหมาะ จึงจะรับประทานอร่อยเรียกว่าเวลาตักน้ำยาราดขนมลงบนขนมจีน
ต้องกะส่วนให้พอลงคลุกผสมกับขนมจีนได้พอเหมาะ
หรือให้มีสัดส่วนเข้ากันพอดีทั้งสองฝ่าย
เมื่อรับประทานแล้วเกิดอร่อยไม่ใช่ว่าขนมจีนอร่อย
หรือน้ำยาอร่อยแต่อร่อยด้วยกันทั้งสองอย่าง เรียกว่า ” พอดีกัน
” จึงเกิดเป็นสำนวนที่ตีความหมายเอาว่า ทั้งสองฝ่ายต่างพอดีกัน
จะว่าข้างไหนดีก็ไม่ได้
น้ำร้อนหมายถึงคนที่ปากร้ายแต่จิตใจไม่ร้ายย่อมไม่เป็นพิษภัย
ส่วนน้ำเย็นหมายถึงคนปากหวานหลอกให้คนหลงเชื่อง่าย ๆ ย่อมมีอันตรายได้
มีความหมายถึงการที่เอาข้างที่มีอยู่น้อยกว่าอยู่เดิม
ไปเติมให้แก่ข้างที่มีมากกว่าอยู่ก่อนแล้ว
ทำให้ข้างที่มีมากกว่าก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไม่สมกัน หรือเปรียบอีกทางหนึ่งว่า
เอาเงินจากคนจนไปถมให้กับคนมั่งมีที่มีอยู่แล้วมากขึ้นอีก
ลงว่า
เนื้อตกเข้าไปอยู่ในปากเสือ หรือ เสือเอาปากขม้ำเข้าไว้แล้ว
เนื้อย่อมไม่มีทางรอดเปรียบได้กับคนที่ตกเข้าไปอยู่ในที่เป็นอันตรายหรือตกเป็นเหยื่อของคนฉลาดกว่า
หลอกให้เชื่อแล้วก็หาทางรอดได้ยาก
สำนวนคำพังเพยนี้หมายถึง
การได้ข่าวหรือได้แต่เพียงรู้ว่า จะมีอะไรที่ไม่ดี หรือข่าวร้ายเกิดขึ้นกับตัว โดยที่ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้
แต่ก็ชิงแสดงอาการทุกข์ร้อนหวาดกลัว หรือวิตกกังวลไปเสียก่อนแล้ว
ทำให้หมดกำลังใจหรือกำลังความคิดที่จะคิดป้องกันไว้ก่อน
เรียกว่าไข้ยังไม่ทันมาถึงเลย ตัวเองก็ชิงเป็นไข้เสียก่อน เพราะความกระวนกระวายหรือตกใจนั่นเอง
สำนวนคำพังเพยประโยคนี้
ถ้าพูดให้เต็มความก็ต้องพูดว่า ” ตราบใดที่ไก่ยังกินข้าวเปลือกอยู่
ตราบนั้นคนเราก็ยังอดกินสินบนไม่ได ”
เข้าใจว่าเป็นคำพังเพยของจีน ๆ เอามาใช้เป็นภาษาของเขาก่อน
แล้วไทยเราเอามาแปลเป็นภาษาไทยใช้กันอยู่มากในสมัยก่อน ๆ
สำนวนคำพังเพยประโยคนี้เป็นสำนวนเก่า
ซึ่งอาจจะมีมาจากครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ได้
เพราะปรากฏมีหลักฐานในเสภาขุนช้างขุนแผน
ตอนเถรกวาดแก้แค้นพลายชุมพลตอนหนึ่งด้วยว่า ” คนดีไม่สิ้นอยุธยา ” สำนวนนี้เป็นความหมาย ที่อธิบายอยู่ในตัวแล้ว ” คนดี
”
ก็คือคนเก่งหรือผู้มีความสามารถในทางต่อสู้และความคิดอยู่พร้อม อย่าชะล่าใจนักจักเสียที
สำนวนตรงข้ามกับ
”
ข้างนอกสุกใส ” คือดูแต่ภายนอกไม่งาม
แต่แท้จริงกลับเป็นของแท้ของงาม สตรีที่มีรูปร่างขี้ริ้วไม่งดงาม
แต่กิริยามารยาทเรียบร้อย จิตใจก็ดีงาม ตรงข้ามกับรูปร่าง
สำนวนต่อเนื่องกันทั้งสองประโยคนี้
มีความหมายว่าการลดตัวเองลงไปเล่นหัวคลุกคลีกับคนที่ต่ำกว่าหรือเด็กที่มีอายุน้อยกว่ามาก
คนผู้นั้นหรือเด็กนั้นก็อาจจะเลียตีเสมอลามปามเข้าให้ สำนวนที่ว่า ” เล่นกับหมาหมาเลียปาก ” นั้นมีประสบการณ์ให้เห็นอยู่บ่อย
ๆ เพราะธรรมชาติของหมาเป็นเช่นนั้น
สำนวนทำนองนี้
มีอยู่ด้วยกันหลายประโยค และมีความหมายไปในทำนองเดียวกัน เช่น ” ดูวัวให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ ” ” ดูข้างให้ดูหน้าหนาว
ดูสาวให้ดูหน้าร้อน ” ดังที่ได้ยินได้ฟังมาบ้างแล้ว
แต่สำนวนที่ว่า ” ดูช้างให้ดูหาง ” นี้
มุ่งให้ดูหางช้าง ที่บอกลักษณะว่าเป็นช้างดีหรือช้างเผือก
เพราะที่ปลายหางของมันยังเหลือให้เห็นสีขาวอยู่ตามเรื่องที่เล่าว่า
เวลาช้างพังตกลูกเป็นช้างเผือกสีประหลาด พวกช้างพลายและช้างพังจะช่วยกัน ” ย้อม ” กลายลูกมันเสีย ด้วยการใช้ใบไม้หรือขี้โคนดำ
ๆ พ่นทับ เพื่อมิให้คนรู้ว่าเป็นช้างเผือกแล้วมาจับไป หรืออย่างไรไม่แน่ชัด
แต่การย้อมลูกของมันด้วยสีเผือกให้เป็นสีนิลนั้น ก็ยังเหลือร่องรอยอยู่อย่างหนึ่ง
คือที่ปลายหางเป็นสีขาว เหตุนี้เขาจึงให้สังเกตลักษณะของช้างเผือกที่ตรงหางไว้เป็นหลักสำคัญ
สำนวนนี่เปรียบเทียบได้สองทาง
ทางหนึ่งก็หมายถึงสิ่งที่แลดูภายนอกเป็นของดีหรือของแท้
แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ของดี หรือของแท้นัก
อีกทางหนึ่งก็เปรียบได้กับสตรีที่งามแต่รูป แต่กิริยาและความประพฤติไม่ดี
หรืองามเหมือนรูป ซึ่งตรงกันข้ามกับอีกสำนวนหนึ่งที่ว่า ข้างนอกขรุขระ
ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง
สำนวนนี้
หมาถึงการทำอะไรที่เป็นการล่วงล้ำหรือก้าวก่ายหรือทับสิทธิของอีกฝ่ายหนึ่ง
จะโดยรู้อยู่หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตามแต่อันอาจเป็นเหตุให้เกิดความบาดหมางก็ได
สำนวนนี้
ควบคู่กับ ”
ตาบอดได้แว่น หัวล้านได้หวี ” ดังได้อธิบายมาแล้ว
คือหมายถึง การได้อะไรในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ตน หรือตนเองไม่มีโอกาสจะใช้
ทำนองเดียวกับ ” ไก้ได้พลอย ” เพราะพลอยย่อมไม่มีประโยชน์
หรือมีคุณค่าแก่ไก่สู้ข้าวเปลือกเมล็ดเดียวก็ไม่ได้
สำนวนนี้
ต่อท้ายกับสำนวนที่ว่า ” หุงข้าวประชดหมา ปิ้งปลาประชดแมว ” หมายความว่า การทำประชดหรือทำแดกดันที่กลับเป็นผลร้ายแก่ตนเอง
เพราะธรรมดาแมวชอบกินปลา ถ้ายิ่งปิ้งปลาให้แมวกินแบบประชดมาก ๆ แมวก็ยิ่งชอบ แต่ตัวคนทำประชดจะต้องเสียผลมากขึ้น
สำนวนนี้
ต่อท้ายควบคู่กับสำนวนที่ว่า ” ทำคุณบูชาโทษ ”
ความหมายดังที่ได้อธิบายไว้แล้ว มักพูดติดต่อกันไปว่า ” ทำคูณบูชาโทษ
โปรดสัตว์ได้บาป
สำนวนนี้
บางทีก็ว่า ”
ยืมจมูกคนอื่นเขามาหายใจ ” มีความหมายไปในทำนองที่ว่า
อาศัยความคิดหรือแรงของคนอื่นมาทำงานให้ตน
โดยไม่คิดว่าจะได้รับผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่ากับที่ตนเองทำหรือไม่ และมักจะไม่ได้ผลดังที่ตนต้องการทีเดียวนัก
สำนวนนี้
มักใช้ควบคู่กับ ” หนามแหลม บ่มีคนเสี่ยม มะนาวกลมเกลี้ยง บ่มีคนกลึง ” หรือบางทีก็พูว่า หนามแหลมไม่มีคนเสี้ยม มะนาวกลมเกลี้ยงไม่มีคนกลึง ”
แปลว่า คนที่มีสติปัญญาหรือมีความสามารถเก่งกาจนั้น
อาจเป็นผู้ที่ไม่ต้องมีใครสอนเลยก็ได้ โดยเกิดขึ้นเองในตัว หรือหมายถึง
คนที่มีตระกูลดีหรือบรรพบุรุษดีมาแล้ว ตนเองก็ย่อมจะมีแววดีติดตามมาด้วย
โดยไม่ต้องมีใครสอน
สำนวนนี้
ประโยคแรกหมายถึง ผู้ชายที่บวชเป็นพระ ๓ ครั้งคือบวชแล้วสึก สึกแล้วบวชอีกถึง ๓
หนด้วยกัน ส่วน “หญิงสามผัว” นั้นคือหญิงที่แต่งงานแล้วมีสามีมาแล้ว
๓ ครั้งหรือ ๓ คน โดยมีสามีคนแรกแล้วเลิกร้างกันไป
มามีคนที่สองเลิกล้างกันไปอีกจนถึงคนที่สามก็ต้องเลิกล้างกันไปอีก สำนวนนี้หมายความว่าผู้ชายที่บวชมาแล้ว
๓ ครั้ง กับผู้หญิงที่ผ่านการมีสามีมาแล้ว ๓ คน
โบราณมีข้อห้ามมิให้เพศตรงข้ามไปมีสัมพันธ์ทางรักใคร่หรือชู้สาวด้วย
คือผู้หญิงก็ไม่ควรไปมีสามีชนิดนี้ หรือผู้ชายก็ไม่ควรไปมีภรรยาชนิดนี้เข้า
ซึ่งตามความเข้าใจว่าบุคคลชนิดนี้ใจคอไม่มั่นคงหรือรวนเลได้โดยสังเกตเอาอาการกระทำเป็นเครื่องวัด
แต่ตกมาถึงสมัยนี้ เข้าใจว่า คงจะไม่มีใครค่อยเชื่อว่าถือกันเท่าไรนัก
สำนวนนี้
มักใช้เป็นคำตอบโต้แก่อีกฝ่าย
ในทำนองบาดหมางน้ำใจกันหรือในกรณีที่อีกฝ่ายทำให้ได้รับความเจ็บแค้น
จึงใช้ไปในทางปรามาสว่า คงจะได้พบกันอีกในโอกาสหน้าหรือวันข้างหน้ายังมีอีก
มูลของสำนวนนี้ เข้าใจว่าในสมัยก่อน เมื่อถึงวัน ๑๕ ค่ำ หรือ ๘ค่ำ ข้างขึ้นข้างแรม
เป็นวันที่ชาวบ้านมักมาชุมนุมฟังเทศน์ทำบุญกันพร้อมหน้า ได้พบกันเต็มที่
จึงถือเป็นประเพณีว่าการที่จะพบกันได้อย่างจัง ๆ หน้า ก็ต้องเป็นวันพระนี้เอง
สำนวนนี้ มักใช้เป็นคำเปรียบเทียบถึงคนที่พูดอะไรไม่เป็นเรื่องจริงหรือไม่มีมูล
เรียกว่าคนโกหกหรือปั้นเรื่องราวเก่ง คือสามารถปั้นน้ำเหลว ๆ ให้เป็นตัวได้
สำนวนนี้
มักใช้เป็นสำนวนเปรียบกับผู้ชาย
ซึ่งตามหลักที่ว่าผู้ชายจะทำอะไรก็ต้องให้เก่งกล้าหรือองอาจ
ไม่อ่อนแอเหมือนผู้หญิง โดยเฉพาะหมายความว่า
ขึ้นชื่อว่าผู้ชายแล้วจะต้องเก่งกล้าสามารถทุกคนเปรียบได้กับเสือ
เพราะเสือเป็นสัตว์ดุร้ายแต่เก่งถือเอาลายของมันเป็นสัญลักษณ์ของความเก่งกาจซึ่งเรามักพูดอีกสำนวนหนึ่งว่า
” ชาติเสือไม่ทิ้งลาย ” อันมีความหมายอย่างเดียวกัน
สำนวนนี้
มาจากธรรมเทศนาที่สอนให้คนเรารู้จักอดกลั้นใจ
หรือระงับยับยั้งความโกรธในการที่คิดจะสู้กับฝ่ายศัตรู
มิให้เป็นเรื่องราวลุกลามใหญ่โตเกิดขึ้น โดยที่ฝ่ายรู้จักคิดอดกลั้นไม่ต่อกรด้วย
ถึงจะเป็นผู้แพ้ก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้ประเสริฐกว่าผู้ที่คิดจะทำร้ายเขาเพื่อเอาชนะ
สำนวนนี้
มีความหมายทำนองเดียวกับ ” สิบเบี้ยใกล้มือ ” คือ
ได้สิ่งไหนก่อนหรือง่ายก็ควรคว้าเข้าไว้ ไม่ควรรีรอเลือกมากเกินไป
อาจจะชวดหรือไม่ได้เลยก็ได้ เปรียบกับปิ้งปลาเป็นอาหาร คือ เห็นว่า สุกหัวกินหัว
สุกหางกินหาง ไม่ต้องรอให้ปลาสุกทั้งตัวจะช้าการไป.
สุรา นารี พาชี กีฬาบัตร : สำนวนนี้เป็นคำพังเพยที่ระบุถึงอบายมุขทั้ง ๔ คือ สุรา
(เหล้า ) นารี (ผู้หญิง : มักเจาะจงถึงผู้หญิงคนเที่ยว ) พาชี ( ม้าแข่ง )
กีฬาบัตร ( การพนัน จำพวก ไพ่ เช่น ไพ่ป๊อก ไพ่ตอง )
ว่าเป็นเหตุแห่งความฉิบหายของผู้ชายเราถ้าใครลงไปมั่วสุมเข้า
หรืออีกทางหนึ่งหมายถึง คนที่เป็นนักเลงถึงพร้อม ๔ อย่าง
หรือเกือบทุกอย่างซึ่งเรียกว่าเป็นนักเลงเต็มตัว แต่ไปในทางไม่ดีนัก
สำนวนนี้
มีความหมายอย่างเดียวกับสำนวนที่ว่า ”
อัฐยายชื้อขนมยาย ” หรือ ” หอกมันแทงมัน ” คือแปลว่า
อะไรที่มีอยู่แล้วหรือได้มาจากการนั้น ก็เอาอันนั้นไปทำให้เป็นผลต่อไป เช่น
ได้เงินจากเสี่ยงโชค ก็เอาเงินที่ได้นั้นเสี่ยงโชคซ้ำลงไปอีก
สำนวนนี้ มีความหมายโดยเฉพาะถือการกระทำอะไรสักอย่างที่ตั้งใจว่า
จะทำโดยเด็ดขาดต่อเมื่อทำลงไปแล้ว ก็กลายเป็นกระทบกระเทือนถึงพวกเดียวกันเองเข้า
เช่น การจะสอบสวนหาผู้กระทำผิด ครั้นลงมือสอบไปแล้วก็พบว่า
ผู้กระทำผิดนั้นมิใช่ใครอื่น คือพวกพ้องเดียวกันนั่นเอง ทำให้ความตั้งใจอย่างเด็ดขาดแต่แรก
มีอันล้มเหลวไป
สำนวนนี้
มีความหมายโดยเฉพาะสำหรับชายหญิงที่เคยเป็นคู่รักหรือเคยมีสัมพันธ์กันมาก่อนแล้วเลิกร้างกันไป
หรือห่างไประยะหนึ่ง เมื่อกลับมาพบกันใหม่ ก็ทำท่าจะตกลงปลงใจ คืนดีกันได้ง่าย
เปรียบเหมือนถ่านไฟที่เคยติดแล้วมอดอยู่หรือถ่านดับไปแล้ว
แต่พอได้เชื้อไฟใหม่ก็คุติดไฟลุกขึ้นมาได้เร็วกว่าถ่านที่ยังไม่เคยได้เชื้อไฟหลายเท่า
สำนวนนี้
มีความหมาอยู่ในตัวแล้วที่ว่า รกคนยังพอใช้ประโยชน์ได้บ้างแต่รกหญ้าไม่มีประโยชน์
สำนวนนี้ยังมีต่อท้ายด้วยว่า ” แต่รกคนบ้า รกหญ้าดีกว่ารกคน
สำนวนนี้
มุ่งหมายโดยเฉพาะกับผู้ที่เลี้ยงลูกของตน หรือเลี้ยงเด็กที่เป็นลูกบุญธรรมก็ตาม
ถ้าเด็กนั้นมีสันดานชั่วร้าย เมื่อโตขึ้นก็ย่อมก่อความเดือดร้อนลำบาก
ให้แก่ตนเองเปรียบได้กับการเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้
เมื่อยังตัวเล็กอยู่ยังไม่เป็นภัย แต่โตขึ้นก็อาจทำความเดือดให้แก่ผู้เลี้ยงได้เป็นส่วนมาก
สำนวนนี้
มุ่งหมายโดยเฉพาะถึงชายกับหญิง ซึ่งรักใคร่ได้เสียกัน ในทำนองที่ว่า
แม้จะได้เสียกันเพียงครั้งเดียว ถ้าทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง
มีความสมบูรณ์ทัดเทียมกันก็อาจทำให้หญิงเกิดตั้งครรภ์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องสมสู่กันหลายครั้ง
สำนวนนี้ เปรียบเอาหินไฟกับเหล็กมาตี เพื่อทำให้เกิดประกายไฟติดชุด
คือนุ่นของคนในสมัยก่อน ๆ ซึ่งยังไม่มีไม้ขีดไฟใช้กันคือถ้าหินดีเหล็กดี
ตีครั้งเดียวก็เกิดประกายไฟติดทำให้เป็นไฟขึ้นมาใช้ได้
สำนวนนี้
มุ่งให้คำนึงว่า ควรจะมีความเห็นใจซึ่งกันและกัน หรือนึกถึงอกเขาอกเราบ้าง
ว่าตัวเราจะรู้สึกอย่างไร ถ้าเขาทำอย่างนั้นกับเรา
สำนวนนี้
ยังมีต่อสร้อยด้วยว่า ” วัวสันหลังขาด เห็นกาบินผาดก็ตกใจ ” มีความหมายถึงคนที่มีอะไรพิรุธหรือมีการกระทำไปแล้ว ในทำนองไม่สู่ดี
มักมีอาการคอยหวาดระแวงอยู่เสมอ กลัวว่าจะมีคนรู้เห็นหรือมารื้อฟื้นกล่าวโทษขึ้น
สำนวนนี้บางทีก็พูดว่า ” วัวสันหลังหวะ ” ซึ่งแปลตามสำนวนก็ว่า วัวสันหลังเป็นแผลหวะ หรือมีบาดแผลที่หลัง กาจะบินมาจิกแผลตนเอง
สำนวนนี้
หมายความว่า การทำคุณหรือการช่วยเหลือผู้อื่นด้วยเจตนาดี
แต่กลับกลายเป็นได้รับโทษตอบแทนหรือเข้าทำนองที่ว่า
ยุ่งไม่เข้าเรื่องอะไรทำนองนั้นสำนวนนี้นิยมใช้ประโยคแรกประโยคเดียวพูดก็เป็นที่เข้าใจกัน
สำนวนนี้
หมายถึงคนที่มีความสามารถดีกับคนที่มีความสามารถพอ ๆ กัน
มาพบกันเข้าต่างฝ่ายย่อมจะทำอะไรกันไม่ได้ เพราะเท่ากับเก่งด้วยกัน เหมือนเพชรคม ๆ
ด้วยกัน
สำนวนนี้
หมายถึง คนที่ทำอะไรองอาจล่วงล้ำ หรือกล้าเข้าไปทำอะไรแก่ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า
โดยทั้งที่รู้หรืออาจไม่รู้ เช่นการเข้าไปฉกฉวยทรัพย์สินในบ้านของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
หรือกล้าเข้าไปก่อนความเดือดร้อนแก่ผู้มีอิทธิพลในถิ่นนั้น ๆ
สำนวนนี้
หมายถึง คนที่เวลาชะตาตกหรือเคราะห์ร้าย ความลับต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความประพฤติไม่ดี
เช่น ทุจริต คดโกง ที่เคยทำไว้ก็มักปรากฏออกมาให้เห็น
เวลาชะตาดีก็เปรียบเหมือนน้ำขึ้นท่วมตอ จึงมองไม่เห็นตอ แต่เวลาชะตาตก น้ำลดแห้ง
ตกก็ผุดขึ้นมาให้เห็นเป็นแถว
สำนวนนี้
หมายถึง คนผู้น้อยหรือผู้มีฐานะต่ำไปคัดค้าน หรือไปก่อความกับผู้มีอำนาจสูงกว่า
หรือมีฐานะดีกว่า ก็ย่อมจะเป็นผู้แพ้หรือทำไม่สำเร็จ มีแต่จะได้รับอันตรายอีกด้วย
เพราะไม้ซีกเล็กกว่าไม้ซุง เมื่อเอาไปงัดไม้ซุงจะให้พลิกขึ้น
ก็รังแต่ไม้ซีกจะหักเปล่า
สำนวนนี้
หมายถึง ในกลุ่มในพวกที่มีจำนวนมาก แต่บังเอิญมีคนชั่วอยู่ด้วยก็ให้คัดออกเสียเฉพาะที่ชั่ว
หรือถ้าจะลงโทษ ก็ควรลงโทษแต่เฉพาะคนชั่ว ส่วนคนที่ดีนั้น
ก็ไม่ควรไปเหมาเอาว่าเป็นพวกเดียวกัน หรือชั่วไปหมดเสียทุกคนทีเดียวนัก
สำนวนนี้
หมายถึงคนสองคนที่ต่างก็มีอำนาจ หรืออิทธิพลยิ่งใหญ่เท่ากัน
ย่อมจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ เพราะต่างฝ่ายก็ต่างจะแข่งรัศมีกันด้วย
สำนวนนี้
หมายถึงคนในครอบครัวเรากับคนภายนอกบ้าน
คือคนที่อยู่กับเราภายในบ้านนั้นย่อมมีความสัมพันธ์และคุ้นเคยรู้อกรู้ใจกันมากับเราเป็นอย่างดี
หรือเปรียบได้กับคนที่ทำงาน อยู่ในบังคับบัญชาของเรามานาน ๆ
ย่อมจะมีความชำนาญในหน้าที่ต่าง ๆ เป็นอย่างดีเมื่อมีคนต้องออกไปแล้ว
คนจะหาคนมาอยู่ใหม่ แทนกี่สิบคนก็คงสู้คนเก่าที่ออกไปไม่ได้
สำนวนนี้
หมายถึงทำอะไรที่สักแต่ว่าทำลงไปให้แล้วเสร็จ โดยไม่คิดคำนึงถึงผลเสียหรือผลที่จะได้รับเป็นอย่างไร
เปรียบได้กับการพุ่งหอกเข้าไปในที่รก โดยไม่รู้ว่า
หอกนั้นจะไปตกต้องโดนอะไรเข้าไปเป็นผลเสียหายบ้าง เพราะในที่รกย่อมมองไม่เห็นว่ามีอะไร
สำนวนนี้
อธิบายความหมายอยู่ในตัวแล้ว เป็นสุภาษิตสอนใจคนเราว่า อย่าไว้ใจทั้งในเรื่องหนทาง
หรือการเดินทางและในเรื่องจิตใจของคนอื่น ๆ ให้มากนัก จะได้รับเคราะห์โดยไม่รู้ตัวเข้าได้
สำนวนนี้
เนื่องจากว่าคนไทยในสมัยก่อน ๆ ถือว่า การเป็นพ่อค้าหรืออาชีพค้าขายนั้น
สู้รับราชการขุนนางหรือข้าราชการไม่ได้
เพราะเหตุที่คนไทยในสมัยก่อนยังไม่มีความชำนาญในทางค้าขายดีพอ
เมื่อไปทำมาค้าขายเข้า ก็มักประสบกับการขาดทุนมากกว่ากำไร
สู้เป็นขุนนางหรือเป็นข้าราชการไม่ได้ เพราะพระเจ้าแผ่นดินหรือรัฐบาลชุบเลี้ยงให้มีเงินเดือน
ซึ่งเท่ากับว่ามีแต่ทางได้ไม่มีทางขาดทุน
สำนวนนี้
เป็นคำเปรียบเปรยคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือโง่เขลา เช่น
เอาอะไรมาแสดงอวดกับคนที่เขารู้ดีอยู่แล้ว
หรือเรียกว่าทำไปโดยไม่คิดว่าเขาจะรู้ดีกว่าตน เปรียบเหมือนเอามะพร้าวห้าวหรือมะพร้าวแก่ไปขายกับชาวสวนที่มีมะพร้าวอยู่แล้ว
ความหมายอย่างเดียวกับคำว่า ห้าแต้ม
สำนวนนี้
เป็นสำนวนปริศนาที่ตีความยาก แต่ก็พอมีเค้าให้เข้าใจได้ว่า การทำอะไรก็ตามแต่
ควรทำให้พอดี อย่าให้มากเกินไป
ถ้าเห็นว่าจะเกินไปทำให้เป็นที่กระทบกระเทือนต่อผู้อื่น
ก็ระงับยับยั้งไปเสียหรือจะทำอะไรที่เรียกว่าง่าย ๆ สั้น ๆ เกินไปก็อย่าด่วนทำควรค่อยคิดค่อยทำต่อไปให้เหมาะสม
สำนวนนี้
เป็นสุภาษิตคำพังเพยของท่านเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ดำรง
มีความหมายอธิบายอยู่ในตัวประโยคแล้ว และมีสำนวนต่อท้ายในลักษณะตรงข้ามอีกด้วย
บุญไม่มา ปัญญาไม่ช่วย ที่ป่วยก็หนัก ที่รักก็หน่าย
สำนวนนี้
เราอาจจะไม่คอยได้ยินในสมัยนี้นัก เพราะเป็นสำนวนเก่าแก่ของคนในสมัยก่อน ๆ
ใช้พูดกัน มีความหมายว่า ” ไปไม่รอด ” หรือไปไม่ได้ตลอด
หรือไปให้ไกลแสนไกลแค่ไหนก็จะต้องหมุนเวียนกลับมาอีก เปรียบเหมือนปี ๑๒ นักกษัตร
ที่หมุนเวียนอยู่เรื่อยไปภายใน ชวด ฉลู ถึง กุล สำนวนนี้มักใช้ประชดคนที่ทำใจแข็งโดยไม่สมเหตุผล
สำนวนนี้
เวลาพูดมักจะใช้คำตรง ๆ ว่า ”
เขียนด้วยมือลบด้วยตีน ”
เป็นความเปรียบเปรยถึง คนที่แต่แรกทำความดีจนเป็นที่เชื่อถือไว้แล้ว แต่ภายหลัง
กลับทำความชั่วลบล้างความดีของตนเสียง่าย ๆ
หรือเปรียบอีกทางหนึ่งถึงคนที่ออกคำสั่ง หรือให้สัญญาไว้แต่แรกอย่างหนึ่ง
แล้วปุบปับกลับเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือสัญญานั้นเสีย ให้อยู่ในลักษณะตรงข้ามโดยไม่มีเหตุผล
สำนวนนี้
แตกต่างกับการสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ
เพราะหมายถึงการสอนผู้ที่มีความรู้ดีเป็นเยี่ยมอยู่แล้ว
โดยที่ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นรู้หรือชำนาญดีกว่าตนเสียอีก
ความหมายใกล้เคียงกับสำนวนที่ว่า เอามะพร้าวห้าวไปขายสวน
สำนวนนี้
โบราณมักใช้พูดกันมาก หมายถึงการกระทำอะไรสักอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือได้สมดุลกัน
หรือใช้จ่ายทรัพย์ลงทุนไปในทางที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
เช่นลงทุนเล็กน้อยเพื่อทำงานใหญ่ซึ่งต้องใช้เงินมาก ๆ ย่อมไม่อาจสำเร็จได้ง่าย
ต้องสูญทุนไปเปล่า ๆ เปรียบเหมือนตำน้ำพริกเพียงครกเดียว เอาไปละลายในแม่น้ำกว้างใหญ่
เมื่อละลายไปก็จะสูญหายไปหมดสิ้นไปทำให้แม่น้ำเกิดอะไรผิดปกติขึ้น
เสียน้ำพริกไปเปล่า ๆ
สำนวนนี้
ใช้เป็นความหมายโดยเฉพาะกับผู้ชายเราที่บังเอิญมาพบผู้หญิงสวยงาม
ถูกใจอย่างแท้จริงคนหนึ่งเข้า แต่ก็เป็นการสายเสียแล้ว
เพราะวัยของคนชราภาพหรือมีครอบครัวเต็มทีแล้ว ก็เท่ากับว่า
สังขารของคนชราภาพหรือมีครอบครัวเต็มทีแล้ว ก็เท่ากับว่า สังขารของตนไม่อำนวย
เพราะ ” ขวาน ” ที่จะใช้การก็มามีอัน ” บิ่น ” ตัดไม้หรือตัดอะไรไม่ได้เสียแล้ว
สำนวนนี้
ใช้เป็นคำเปรียบเปรยถึงคนที่ประพฤติชั่ว ถึงจะเอามาอบรมเลี้ยงดูดีอย่างไร
ก็อดประพฤติเช่นเดิมไม่ได้ เปรียบได้กับสุนัขส่วนมากซึ่งชอบกินขี้อยู่เสมอ
แต่สมัยนี้เราไม่ค่อยจะได้เห็นดังว่า
ก็เพราะส้วมถ่ายอุจาระของเราสมัยนี้มิดชิดไม่ค่อยเรี่ยราดเหมือนสมัยก่อน
สำนวนนี้
ไม่ทราบที่มาหรือมูลของสำนวนแน่ชัด
แต่ก็เป็นที่รู้ ความหมายกันทั่วไปว่า หมายถึง
การที่คนเราเกลียดสิ่งไหนแล้วมักจะได้สิ่งนั้นเปรียบได้กับชายที่เกลียด
ผู้หญิงขี้บ่นจู้จี่แต่มักลงท้ายกลับไปได้ภรรยาขี้บ่นจู้จี่เข้าจนได้
สำนวนนี้
มักจะพูดกันว่า ”เข็นครกขึ้นภูเขา
” กันส่วนมาก แต่แท้จริง ” ครก ” ต้องทำกริยา ” กลิ้ง ” ขึ้นไปจึงจะถูก
กล่าวคำว่า ” เข็น ” แปลว่า
เรื่องที่กำลังจะทำหรือจะทำให้สำเร็จบรรลุผลนั้น
ยากลำบากแสนเข็ญมิใช่ของที่ทำได้ง่ายนักเปรียบได้กับ
การกลิ้งครกขึ้นภูเขาไปสู่ยอดเขา
กลืนไม่เข้าคายไม่ออก : แปลว่าหมดหนทางที่จะทำหรือไม่รู้จะทำอย่างไรดีหรือ
เป็นการทำให้ตัดสินใจไม่ถูก เพราะจะไม่ทำลงไปก็ไม่ดี
ทำลงไปก็ไม่ดีเป็นการยากที่จะตัดสินใจทำลงไปได้ง่าย
เหมือนก้างปลาหรือเศษอาหารอะไรอย่างหนึ่ง เข้าไปติดอยู่กลางลำคอกลืนก็ไม่เข้าคายก็ไม่ออก
สำนวนนี้
มักจะใช้กันมาก เพราะเป็นสำนวนสุภาษิตที่เตือนใจให้คนเราอย่าทระนงหรือประมาท
ไม่ว่าจะมีความรู้หรือปัญญาฉลาดปราดเปรื่องสักแค่ไหนถ้าประมานก็มีวันพลาดท่าเสียทีเขาลงได้
เพราะอุปมาเอาว่า ” สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ”
เราผู้เป็นคนธรรมดาสามัญหรือมีความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ
ก็ยิ่งจะมีทางพลาดพลั้งลงได้ง่าย โดยมีสำนวนต่อท้ายว่า สองตีนโด่เด่
คงจะเซลงมาบ้าง
สำนวนนี้
มีความหมายหรือคำบรรยายอยู่ในตัวแล้ว คือคบคนชั่ว
คนชั่วก็ชักพาเราให้พลอยไปทำชั่วด้วย ถ้าคบคนดีมีความรู้ ก็ทำให้เราได้รับผลดีหรือได้รับความรู้ดีตามไปด้วย
สำนวนนี้
มีความหมายไปในทำนองที่ว่า ทำอะไรไว้ในที่ลับแล้วอดปากไว้ไม่ได้เอามาเปิดเผย
ให้คนทั้งหลายรู้เพื่อจะอวดว่าตนกล้าหรือสามารถทำอย่างนั้นได้โดยไม่กลัวใครผิดกฎหมาย
อะไรทำนองนั้นหรือไม่กลัว
สำนวนนี้
มีประโยคต่อท้ายสัมผัสกันด้วยว่า ”
ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก ” แต่เรามักพูดสั้น ๆ ว่า ”
โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ ” หมายความว่าจะคิดกำจัดศัตรู
ปราบพวกคนพาลให้หมดสิ้นทีเดียวแล้ว
ก็ต้องปราบให้เรียบอย่าให้พรรคพวกของมันเหลือไว้เลยแม้แต่คนเดียว
มิฉะนั้นพวกที่เหลือนี้จะกลับฟื้นฟูกำลังขึ้นมาเป็นศัตรูกับเราภายหน้าได้อีก
ทำนองเดียวกับที่ว่า ถ้าเราจะขุดตอไม้ทิ้ง
เราก็ต้องขุดทั้งรากทั้งโคนมันออกให้หมดอย่าให้เหลือไว้จนมันงอกขึ้นมาภายหลังได้อีก
สำนวนนี้
หมายถึง คนที่อวดดีหรือชอบกระทำนอกลู่นอกทางเมื่อมีคนทักท้วงก็ไม่เชื่อฟัง
ยังขืนกระทำ จนเขาหมั่นไส้ปล่อยให้ลองทำเพื่อจะให้รู้สึกตัวบ้าง
เพราะเชื่อว่าการกระทำนั้น ๆ จะต้องได้รับอันตรายถึงเลือดตกหรือเจ็บปวดเข้าก็ได้
หรืออีกทางหนึ่งเปรียบเทียบได้กับเด็กที่ไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่หรือผู้ปกครอง
เมื่อห้ามด้วยปากไม่เชื่อก็ต้องใช้ไม้เรียวเฆี่ยนทำให้เจ็บตัวเสียก่อนจึงจะรู้สึก
สำนวนนี้
หมายถึงการพูดกล่าวขวัญหรือทำอะไรสักอย่าง
โดยผู้พูดหรือผู้ทำไม่รู้จักคนผู้นั้นครั้นพอรู้ความจริง
ผู้พูดหรือผู้ทำกลายเป็นคน ” ห้าแต้ม ” ไปเลย
ถ้าเป็นการพูดกล่าวขวัญในทางร้ายหรือนินทาด่าคนผู้นั้นเข้า
ดีไม่ดีก็ต้องเคราะห์ร้ายเปรียบเหมือนจุดไต้ไปตำเข้ากับตอถึงไฟดับ
สำนวนนี้เข้าใจว่า มาจากการจุดไต้ให้ไฟสว่างของคนสมัยโบราณ
ซึ่งใช้เป็นไฟฉายส่องทาง แล้วเอาไต้ไฟไปชนเข้ากับต่อถึงดับ
สำนวนนี้
หมายถึงคนที่มีวิชาความรู้ดี หรือรู้สารพัดเกือบทุกอย่าง
แต่ถึงคราวเกิดเรื่องขึ้นกับตัวเอง กลับจนปัญญาแก้ไข หรือความหมายอีกทางหนึ่งว่า
มีความรู้อยู่มากมายแต่ใช้วิชาหากินไม่ถูกช่อง ทำให้ต้องตกอยู่ในฐานะยากจนอยู่เรื่อยมา
สู้คนที่ไม่รู้หนังสือเลย แต่หากินจนร่ำรวยไม่ได้
สำนวนนี้
เป็นคำเปรียบเปรยถึงการทำให้คนที่มีมลทิน
หรือมีเรื่องเสียมาก่อนให้กลับเป็นคนดีหรือเป็นคนใหม่ที่บริสุทธิ์ขึ้นมา
เปรียบเหมือนเอาปลาที่เหม็นคาว หรือมีกลิ่นมาใส่เกลือแช่สักพัก
แล้วเอาใส่ตะกร้าล้างน้ำโดยวิธีจุ่มสงขึ้นหลาย ๆ หนเพื่อให้หมดกลิ่น
สำนวนนี้มักใช้กับหญิงที่เสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว หรือมีราคี แล้วเอาชุบอบรมทำให้เป็นหญิงบริสุทธิ์คนใหม่เสีย
ไส้เป็นหนอน : หมายถึง
ญาติพี่น้องหรือคนในบ้านของตนเองไม่ซื่อสัตย์คิดร้ายหรือทรยศ
ทำให้ตนต้องได้รับความเดือดร้อนและเสียหาย สำนวนนี้บางทีก็พูดว่า ” หนอนบ่อนไส้ ” โบราณมักเอาคำว่า ” ไส้ ” มาเปรียบกับตัวเรา ญาติพี่น้องวงศ์วาร
หรือความลับภายใน , เรื่องส่วนตัว ฯลฯ เป็นส่วนมาก เช่น ”
ไส้กี่ขด ๆ ” (
หมายถึงความลับภายในหรือเรื่องส่วนตัว ) สาวไส้ให้กากิน , ไส้เป็นน้ำเหลือง
ฯลฯ
สำนวนนี้
ใช้เปรียบกับการที่ทำงานอะไรสักอย่างโดยไม่ต้องลงทุน หรือไม่มีทุนจะลงเลย
ซึ่งอาจจะเป็นผลสำเร็จหรือไม่ก็ตามเรียกว่าเป็นการลองเสี่ยง หรือใช้ความสามารถของตนเองเป็นหลักใหญ่เข้าทำ
สำนวนนี้ค่อนข้างจะยาวไปสักหน่อย
แต่ก็เป็นที่จำได้ง่าย หรือใช้กันทั่วไป มีความหมายว่า คนที่อยู่ร่วมกัน
ถ้าคนใดคนหนึ่งทำมิดี หรือทำชั่วก็พลอยให้คนอื่น ๆ ที่อยู่ร่วมกันเสียไปด้วย
สำนวนนี้ทางหนึ่งหมายถึง
ว่ากันว่าการทำอะไรที่บังเอิญเกิดผิดพลาดขึ้น โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง หรือทำไปได้ครึ่งแล้ว
ก็จำต้องทำมันต่อไปให้เสร็จสิ้นเสียเลยเรียกว่า ” พลอยโจน ” อีกทางหนึ่ง คงจะหมายถึงการพลอยผสมโรงหรือพลอยตามไปด้วยกับเขา
ทำนองเดียวกับที่ว่า เห็นคนอื่นตกกระได ตนเองก็เลยพลอยโจนตามโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง
แต่อีกทางหนึ่ง อาจหมายความได้ว่าการกระทำอะไรบังเอิญผิดพลาด คือ ” ตกกระได ” ก็เลยใช้วิธีกระโจนลงไปเสีย
เพื่อไปตั้งหลักเอาใหม่ดีกว่าปล่อยให้ตกกลิ้งลงไป.
ติเรือทั้งโกลน : เป็นสำนวนหมายความว่า ชิงติงานที่เขาเริ่มทำใหม่ ๆ เสียก่อน
ยังไม่ทันได้เห็นผลงานของเขา หรือเรียกว่า มีปากก็ติพล่อย ๆ โดยไม่รู้ว่า
ฝีมือเขาจะเป็นยังไง ” โกลน ” ในสำนวนนี้หมายถึง
ซุง ทั้งต้นที่เขาเอามาเกลาหรือถากตั้งเป็นรูปขึ้นก่อนเพื่อจะต่อเป็นเรือขุด
โกลนในชั้นแรกจึงดูไม่ค่อยเป็นรูปร่างดี ต่อเมื่อโกลนดีแล้ว จึงตบแต่งค่อยเป็นค่อยไปจนเป็นรูปเรือ
สำนวนนี้
ใช้เป็นความหมายเปรียบเทียบถึงคนที่ไม่เจียมตัว หรือมีศักดิ์ต่ำแต่คิดเห่อเหิมจะทำตัวให้เทียมหน้าเขา
สำนวนนี้ต่างกับคำว่า
”
ถ่มน้ำลายรดฟ้า ” ถ่มน้ำลายในประโยคนี้
หมายถึง การที่พูดหรือลั่นวาจาออกไปแล้ว เป็นการตัดขาดว่าจะไม่เกี่ยวข้องกันอีก
แต่แล้วก็กลับไปเกี่ยวข้องเข้าอีก เป็นทำนองกลับคำของตนเองที่ได้พูดไว้
สำนวนนี้ต่างกับคำว่า
”
หัวล้านได้หวี ” เพราะหมายถึง
คนที่ทำอะไรนอกแบบแผน หรือไม่ทำอย่างที่คนธรรมดาเขาปฏิบัติกันอยู่ทั่วไป
โบราณมักจะเอาคนหัวล้านมาผูกเป็นประโยคสำนวน หรือคำพังเพยส่วนมาก เข้าใจว่า
คนหัวล้านในสมัยนั้นคงมีพฤติการณ์อะไรแปลก ๆ หรือเป็นจุดเด่นให้สังเกตได้ง่ายก็อาจเป็นได้
สำนวนนี้ทางหนึ่งหมายถึง
ว่ากันว่าการทำอะไรที่บังเอิญเกิดผิดพลาดขึ้น โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง
หรือทำไปได้ครึ่งแล้ว ก็จำต้องทำมันต่อไปให้เสร็จสิ้นเสียเลยเรียกว่า ” พลอยโจน ” อีกทางหนึ่ง คงจะหมายถึงการพลอยผสมโรงหรือพลอยตามไปด้วยกับเขา
ทำนองเดียวกับที่ว่า เห็นคนอื่นตกกระได ตนเองก็เลยพลอยโจนตามโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง
แต่อีกทางหนึ่ง อาจหมายความได้ว่าการกระทำอะไรบังเอิญผิดพลาด คือ ” ตกกระได ” ก็เลยใช้วิธีกระโจนลงไปเสีย
เพื่อไปตั้งหลักเอาใหม่ดีกว่าปล่อยให้ตกกลิ้งลงไป.
ติเรือทั้งโกลน : เป็นสำนวนหมายความว่า ชิงติงานที่เขาเริ่มทำใหม่ ๆ เสียก่อน
ยังไม่ทันได้เห็นผลงานของเขา หรือเรียกว่า มีปากก็ติพล่อย ๆ โดยไม่รู้ว่า
ฝีมือเขาจะเป็นยังไง ” โกลน ” ในสำนวนนี้หมายถึง
ซุง ทั้งต้นที่เขาเอามาเกลาหรือถากตั้งเป็นรูปขึ้นก่อนเพื่อจะต่อเป็นเรือขุด
โกลนในชั้นแรกจึงดูไม่ค่อยเป็นรูปร่างดี ต่อเมื่อโกลนดีแล้ว จึงตบแต่งค่อยเป็นค่อยไปจนเป็นรูปเรือ
สำนวนนี้ประโยคควบคู่อยู่ด้วยอีกสองประโยคคือ
” หัวล้านได้หวี นิ้วด้วนได้แหวน ”
มีความหมายอย่างเดียวกัน คือหมายถึง
การได้ในสิ่งที่มีประโยชน์แก่ตนเองเลยแม้แต่น้อย เพราะคนศรีษะล้านย่อมไม่มีผมจะหวี
และคนตาบอดถึงจะใส่แว่นก็มองไม่เห็นเพราะแว่นไม่ช่วยให้คนตาบอดกลับเห็นได้
สำนวนนี้มาจากตุ๊กแก
ว่ากันว่า ตุ๊กแกที่กินปูน (ปูนแดงที่กินกับหมากพลู )
มักจะทำอาการกระวนกระวาย ส่งเสียงร้องแกร็กๆ เหมือนอาการร้อนท้องหรือปวดท้อง
จึงนำเอามาเปรียบกันคนที่ทำพิรุธหรือทำอะไรไว้ไม่อยากให้ใครรู้แต่เผอิญมีใครไปแคะได้
หรือเรียบเคียงเข้าหน่อยทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้เจตนาเจาะจงแต่ตัวเอง
ก็แสดงอาการเป็นเชิงเดือดร้อนออกมาให้เขารู้ สำนวนนี้มักพูดกันว่า ตุ๊กแกกินปูนร้อนท้อง
สำนวนนี้มีความหมายอธิบายอยู่แล้ว
คือเมื่ออาศัยอยู่บ้านใคร ก็อย่าอยู่เปล่า
ควรช่วยทำงานทำการให้เป็นประโยชน์ต่อเขาบ้าง
เพียงแค่เอาดินมาปั้นเป็นตุ๊กตาให้เด็ก ๆ ลูกหลานในบ้านท่านเล่นก็ยังดี
แต่ประโยคนี้ เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่า
เพียงแต่ช่วยดูแลเด็กเล็กในบ้านให้แก่ท่านผู้นั้นก็ถือว่าเป็นประโยชน์ดีกว่าอยู่เปล่า
ๆ
สำนวนนี้มีความหมายอธิบายอยู่แล้วในประโยคแรก
ที่ว่าการพลาดถลำตกลงไปในร่องพื้น ยังพอชักเท้าขึ้นมาได้
แต่การถลำใจซึ่งหมายถึงการหลงเชื่อหรือหลงรักหนัก ๆ เข้า ย่อมถอนออกได้ยาก
สำนวนนี้มีความหมายอธิบายอยู่ในตัวแล้ว
ถึงแม้คนเราจะถูกโจรขึ้นปล้นบ้านสัก ๑๐ ครั้งหรือมากกว่านั้น ก็ยังไม่ทำให้ข้าวของ
หรือทรัพย์สินบางอย่างภายในบ้านเราถึงขนาดหมดเกลี้ยงตัวเลยทีเดียวนัก
แต่ไฟไหม้ครั้งเดียว เผาผลาญทั้งทรัพย์สิน และที่อยู่เราวอดวายเป็นจุลไปหมด
โบราณจึงว่า โจรหรือขโมยขึ้นบ้านสัก ๑๐
ครั้งไม่เท่าไฟไหม้ครั้งเดียว
สำนวนนี้มีความหมายอย่างเดียวกันทั้งสองประโยค
เป็นสุภาษิตพังเพยที่สอนว่า การทำอะไรก็ตามแต่จะต้องตามใจผู้ที่จะได้รับโดยตรง
เช่น พ่อแม่ที่คิดจะหาสามีให้บุตรสาวของตนเอง ก็ควรจะเลือกผู้ชายที่บุตรสาวของตนเอง
ก็ควรจะเลือกผู้ชายที่บุตรสาวของตนมีใจสมัคอยู่ด้วย จึงจะชอบ
สำนวนนี้หมายถึง
การทำอะไรที่เป็นเรื่องไม่ดี เป็นเรื่องชั่วร้ายเลวทรามหรือการทุจริต
โดยไม่มีความละอายใจให้ผู้อื่นเห็น โดยเฉพาะหมายถึงผู้ใหญ่ที่ทำให้ผู้น้อยเห็นอย่างชัดแจ้ง
สำนวนนี้มีความหมายอย่างเดียวกันทั้งสองประโยคที่ว่า
การปล่อยให้บุคคลสำคัญ หรือศัตรูที่เราจับได้กลับไปสู่แห่ลงเดิมของมัน
เพราะเสือย่อมอยู่ในป่า และปลาอยู่ในน้ำ เมื่อมันกลับสู่รังธรรมชาติของมันแล้ว
กำลังวังชาของมันก็ย่อมมีขึ้นอย่างเดิม มันอาจจะเป็นเหตุให้ศัตรูกลับมาคิดแก้แค้นเราได้ภายหลัง
สำนวนนี้มีความหมายแตกต่างกับประโยค
” เกลียดขี้ขี้ตาม ”
เพราะแปลความหมายไปในทางที่ว่าเกลียดตัวเขาแต่อยากได้ผลประโยชน์จากเขา หรือของ ๆ
เขา ตามความหมายเปรียบเทียบของสำนวนที่ว่าเช่นเกลียดปลาไหลในรูปร่างของมัน
แต่เมื่อเอามาแกงมีรสหอม
ก็ทำให้อดอยากกินแกงไม่ได้ถึงแม้จะไม่กินเนื้อปลาไหลเลยก็ตาม
สำนวนนี้หมายถึง
การที่จะทำงานใหญ่ ๆ เพื่อประโยชน์ที่จะได้รับจำนวนมาก ๆ แล้ว
ก็อย่าเสียดายเงินทองหรือค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องเสียที่เดียวนัก
เปรียบเหมือนฆ่าควายทั้งตัวเพื่อจะปรุงอาหารมาก ๆ ก็อย่าเสียดายพริกที่จะต้องใช้แกงหรือผัด
มิฉะนั้นอาหารจะเสียรสเพราะเนื้อควายกับพริกแกงไม่ได้สัดส่วนกัน
สำนวนนี้หมายถึง
คนที่ไม่ลงลอยกัน หรือ รสนิยมเข้ากันไม่ได้ เมื่ออยู่ใกล้กัน
ก็มักเป็นปากเสียงทะเลาะวิวาทกัน เปรียบดังขมิ้นกับปูนที่กินกับหมาก
สำนวนนี้หมายถึงคนที่พูดเก่ง
หรือตลบแตลงเก่ง พูดกลับกลอกได้รอบตัว หรือพูดจนจับคำไม่ทัน
เป็นที่ไม่น่าเชื่อถือและไว้ใจ เปรียบเหมือนกับว่าเป็นคนหลบหลีกได้คล่อง
ถึงจะเอามะกอกใส่เต็มตะกร้า ๓ –
๔ ตะกร้ามาขว้างปาก็ไม่ถูก ทำนองเดียวกับที่ว่า จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
สำนวนนี้เปรียบเทียบ
มหาสมุทรซึ่งเป็นสถานที่กว้างใหญ่ลึกลับ
เมื่อเข็มเย็บผ้าเพียงเล่มเดียวที่ตกลงไปยังก้นมหาสมุทร
จึงย่อมค้นหาไม่ใช่ของง่ายนัก หรือไม่อาจจะค้นหาได้
เปรียบได้กับการที่เราจะค้นหาอะไรสักอย่างหนึ่งที่อยู่ในวงกว้าง ๆ ไม่มีขอบเขต ย่อมสุดวิสัยที่เราจะค้นหาได้ง่าย
สำนวนนี้เป็นคำเปรียบเปรย
หรือเป็นเชิงเตือนสติคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
หรือคนที่ทะเยอทะยานทำตนเสมอกับคนที่สูงกว่า
ให้รู้จักยั้งคิดว่าฐานะของตนเองเป็ยอย่างไรเสียก่อน จึงค่อยคิดทำเทียมหน้าเขา
ความหมายทำนองเดียวกับที่ว่า ”
ส่องกระจกดูเงาของตัวเองเสียก่อน ” สำนวนนี้
ผู้หญิงสูงศักดิ์มักจะใช้เป็นคำเปรียบเปรยเย้ยหยันผู้ชายที่มีฐานะต่ำต้อยกว่า
สำนวนนี้เป็นที่เข้าใจกันว่า
เมื่อเวลาไปไหนคนเดียวไม่ปลอดภัยนัก อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เรียกว่า ” หัวหาย ” ถ้าไปด้วยกันสองคน
ก็อาจจะช่วยขจัดเหตุร้ายหรือเป็นเพื่อนอุ่นใจได้ดีกว่าไปคนเดียว
หมายความว่า
การทำตัวดี ประพฤติดี มีความรู้ดี ก็ได้งานอาชีพเบาหรืองานสูง ถ้าทำตัวไม่ดี
หรือขาดความรู้วิชาก็ต้องทำงานหนัก จำพวกแบกหามหรืองานต่ำ
หมายความว่า
จะทำอะไรก็ค่อย ๆ พูดจากัน อย่าให้มีเรื่องมีราวเดือดร้อนเกิดขึ้นกีบอีกฝ่ายหนึ่ง
หมายความว่า
พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ สู้นิ่งไว้ดีกว่า
หมายความว่า
คนชั่ว คนชั้นต่ำ หรือพวกอันธพาลคิดร้ายหรือประทุษร้ายเราอย่างใดอย่าทำตอบ
แต่ควรหลีกเลี่ยงไปเสีย